เมื่อยุคของเสียงแบบดิจิตอลมาถึงในปลายยุค 80 การเชื่อมต่อข้อมูลเสียงดิจิตอล SPDIF และ AES/EBU ที่เป็นไปตาม มาตรฐาน IEC 958 ก็เกิดขึ้นมา ทั้งในรูปแบบ ผู้ผลิต(Professional )และผู้ใช้(Consumer) มาดูกันว่าสายดิจิตอลเส้นเล็ก ๆนี้เก็บซ้อนข้อมูลไว้มากมายเพียงใด
S/PDIF
S/PDIF เป็นการเชื่อมต่อข้อมูลอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นมาตรฐานของ AES/EBU และจัดตั้งขึ้น โดยสมาคมวิศวกรรมเครื่องเสียง (AES: Audio Engineering Society) ร่วมกับสหภาพการกระจายเสียงของยุโรป (EBU: European Broadcasting Union) การเชื่อมต่อข้อมูล S/PDIF ออกแบบโดยบริษัทโซนี่ และ ฟิลลิปส์ ใช้ในการส่งถ่ายข้อมูล หรือเชื่อมต่อข้อมูลแบบดิจิตอลจากแหล่งจ่ายดิจิตอลไปยังอุปกรณ์อื่นๆตามความ ต้องการของผู้บริโภค ซึ่งสามารถทำให้อุปกรณ์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ภายในรูปแบบของสัญญาณ ดิจิตอล ในอดีต การเชื่อมต่อจะใช้สายสัญญาณ 2 เส้นแยกกัน สำหรับสัญญาณข้อมูล และสำหรับสัญญาณนาฬิกา ซึ่ง ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง จะทำให้มีการผิดพลาดทางเวลาเกิดขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพการแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นแอนะลอกนั้นจะมีการผิดพลาดไม่ สมบูรณ์ การเชื่อมต่อข้อมูล S/PDIF จึงใช้สายสัญญาณเพียงเส้นเดียว (single wire interconnect) ในการส่งข้อมูล เพื่อแก้ไขการผิดพลาดทางเวลาที่เกิดกับการเชื่อมต่อที่ใช้สายสัญญาณ 2 เส้นได้ ลักษณะการเชื่อมต่อข้อมูล S/PDIF จะใช้สาย Coaxial 75 Ω ขั้วต่อสัญญาณเป็นแบบ RCA
รูปที่ 1 เครื่อง ดีทูเอที่มีขั้วต่อสัญญาณแบบ COAX(RCA) , AES/EBU และ Toslink(Optical)
สัญญาณ S/PDIF จากเครื่องเล่น CD ไปสู่ DAC
จะมีความถี่อัตราชักค่าตัวอย่าง เท่ากับ 44.1kbps (Kilo bit per seconds)
จำนวนการส่งข้อมูลเท่ากับ 24 บิต ของ 1 ช่องสัญญาณ และ 32 บิต ของ 2
ช่องสัญญาณ มีอัตราการถ่ายข้อมูลถึง 2.822 Mbps (Mega – bit per seconds)
ได้จาก 1 เฟรม ที่มีค่า 64 บิตคูณกับความถี่ของการชักค่าตัวอย่าง (Fs)
รูปที่ 2 ขั่วต่อและสายดิจิตอลแบบต่างๆ ทั้งแบบผู้ผลิต(Professional )และผู้ใช้(Consumer)
บิต เฟรม เฟรมย่อย และ บล็อก
การเชื่อมต่อข้อมูล S/PDIF จะส่งข้อมูลเสียงดิจิตอลไปในสายเส้นเดียว และจัดเตรียมข้อมูลเสียงไว้ 2 ช่องสัญญาณ สำหรับการควบคุมข่าวสาร และสำหรับการตรวจสอบข้อผิดพลาด ข้อมูลข่าวสารจะถูกควบคุมและส่งออกไปเป็น 1 บิต ต่อตัวอย่าง ไปเก็บไว้ในโครงสร้างของ Block ซึ่งจะเรียกว่า เฟรมย่อย (sub-frame) แสดงในรูปที่ 2.2
รูปที่ 3 รูปแบบของ sub-frame
จากรูปที่ 2.2 ภายใน เฟรมย่อย จะมีช่องของข้อมูลอยู่ทั้งหมด 32 บิต โดย
4 บิตแรกตั้งแต่บิตที่ 0 – 3 เป็นบิตเริ่มต้น (Preamble) จะบรรจุ
Biphase-code ไว้ภายในส่วนนี้ด้วย ต่อมาบิตที่ 4 – 7
เป็นส่วนของสัญญาณเสริมอื่นๆ (Auxiliary data) และอีก 20
บิตเป็นของสัญญาณเสียง (Audio data) ตั้งแต่ บิตที่ 8 – 27
รวมแล้วส่วนของข้อมูลสัญญาณเสียงมีทั้งหมด 24 บิต
จะส่งเป็นบิตที่มีความสำคัญน้อย (LSB) อยู่ในบิตช่วงแรกๆ
โดยถ้าตัวอย่างของสัญญาณเสียงมี มากกว่า 20 บิต
ก็จะครอบคลุมส่วนของทั้งสัญญาณเสียงและสัญญาณเสริม
แต่ถ้าตัวอย่างของสัญญาณเสียงมีน้อยกว่า 20 บิต จะทำให้ส่วนของสัญญาณเสริม
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่นเดียวกันกับเสียง ส่วนอีก 4
บิตที่เหลือ เป็นบิตที่ใช้ควบคุมสัญญาณข่าวสาร ได้แก่V (validity) Bit : เป็นบิตที่แสดงความถูกต้อง เมื่อเป็น Low จะแสดงว่ามีสัญญาณที่เหมาะสมกับแปลงเป็นสัญญาณแอนะลอก
U (user) Bit : ช่องสัญญาณ User bit จะว่างไว้ให้แก่ผู้ใช้สำหรับหลายๆจุดประสงค์ ใน block ทั้งหมด
C (channel status) Bit : บิตสถานะช่องสัญญาณจะนำข้อมูลที่มีความสำคัญ เกี่ยวกับข้อมูลเกี่ยวกับเสียง และการเชื่อมต่อสำหรับการส่งมาด้วย แต่ละช่องสัญญาณที่เกี่ยวกับเสียงทั้ง 2 ช่องสัญญาณ มีข้อมูลสถานะช่องสัญญาณของตัวมันเอง ด้วยโครงสร้างของบล็อก ที่จะมีการทำซ้ำทุกๆ 192 ตัวอย่าง
P (Parity bit) Bit : เป็นบิตที่ใช้ในการตรวจข้อผิดพลาด ภายใน เฟรมย่อยได้ซึ่งทั้ง 32 บิตนี้จะอยู่ใน 1 เฟรมย่อย และ 2 เฟรมย่อย จะเท่ากับ 1 เฟรม ซึ่งใน 1 บล็อก จะมี เฟรม อยู่ทั้งหมด 192 เฟรม โดยจะมีบิตเริ่มต้น (Preamble) เป็นจุดเริ่มต้นของ บล็อก (Block) ดังรูปที่ 4
รูปที่ 4 รูปแบบของ Frame
รูปที่ 4 แสดงให้เห็น เฟรมย่อย ที่ต่อเนื่องกัน 2 เฟรมย่อย
จะเรียกว่า เฟรม ซึ่งประกอบไปด้วย ช่องสัญญาณ A และ B จนถึง 192
เฟรม ก็จะเรียกว่า บล็อก จุดเริ่มต้น หรือ Preamble
ซึ่งจะชี้จุดเริ่มแรกของ เฟรมย่อย จะมีความแตกต่างในแต่ละช่องสัญญาณของทั้ง
2 ช่องสัญญาณ ด้วยการชี้ลักษณะเฉพาะของจุดเริ่มต้นของบล็อกสถานะช่องสัญญาณรูปแบบการเข้ารหัสสัญญาณดิจิตอลจะเข้ารหัสแบบ Biphase-mark-code โดยรูปแบบของสัญญาณ Biphase-mark-code จะแสดงในรูปที่ 5
รูปที่ 5 การเข้ารหัสของ Biphase-code
จากรูปที่ 5 จะเห็นว่าความถี่ของสัญญาณนาฬิกา (Clock) เข้ามา 2
ครั้งต่อ1บิต เมื่อ data เป็น 1 ก็จะทำให้ Biphase-mark มีการเปลี่ยนสถานะ
เป็น 1 0 เมื่อบิตก่อนหน้านั้นเป็น 0 และจะเปลี่ยนสถานะเป็น 0 1
เมื่อบิตก่อนหน้านั้นเป็น 1 เมื่อ data เป็น 0 Biphase-mark
จะเปลี่ยนสถานะ เป็น 1 1 เมื่อบิตก่อนหน้าเป็น 0 และจะเป็น 0 0
เมื่อบิตก่อนหน้าเป็น 1 ซึ่งการเข้ารหัส Biphase-mark นี้จะได้รูปแบบของ
Preamble X , Y และ Z ดังรูปที่ 6 และตารางที่ 2.1รูปที่ 6 รูปแบบของ Preamble
ตารางที่ 1 Preamble
Biphase Patterns | Channal | |
X | 11100010 or 00011101 | Ch.A |
Y | 11100100 or 00011011 | Ch.B |
Z | 11101000 or 00010111 | Ch.A & C.S. Block Start |
รูปแบบ การเชื่อมต่อผู้ผลิต(Professional )และผู้ใช้(Consumer)
ตาม มาตรฐาน IEC 958 ได้แบ่งรูปแบบการเชื่อมต่อข้อมูลเสียงดิจิตอลไว้ สองแบบด้วยกันคือ รูปแบบ ผู้ผลิต(Professional ) สำหรับใช้ใน สตูดิโอบันทึกเสียง สถานีวิทยุ-โทรทัศน์ และผู้ใช้(Consumer) คือผู้ใช้ฟังตามบ้านทั่วไป ซึ่งมีความแตต่างกันทั้งขั้วต่อ คือ ผู้ผลิต(Professional )AES/EBUและผู้ใช้(Consumer) SPDIF โดยดูรูปที่ 2 ประกอบ , ขนาดสัญญาณ ,การป้องกันการทำสำเนา , ความละเอียดของจำนวนบิต , บล็อกสถานะช่องสัญญาณตารางที่ 2
ผู้ผลิต(Professional )AES/EBU | ผู้ใช้(Consumer) SPDIF | |
สายสัญญาณ | ชีลด์ (SHIELD) 110 โอหม์75 โอหม์ โคแอกเชียล | 75 โอหม์ โคแอกเชียล, ไฟเบอร์ออปติก |
ขั้วต่อ | 3 ขั้ว XLR , BNC | RCA , BNC , TOSLINK |
ระดับสัญญาณ | 3-10 V | 0.5-1v |
การทำสำเนา | อนุญาต | ไม่อนุญาต |
บล็อกสถานะช่องสัญญาณ | แบบผู้ผลิต | แบบผู้ใช้ |
จำนวนบิต | 24 บิต | 20-24 บิต |
บล็อกสถานะของช่องสัญญาณ
จากรูปแบบของเฟรมย่อย (Sub-frame)ในรูปที่ 3 จะมีบิตที่ใช้ควบคุมและข้อมูลสำคัญถูกบรรจุอยู่ในบิตสถานะช่องสัญญาณ( C ) โดยข้อมูลนี้จะบ่งบอกสถานะแต่ละช่องสัญญาณคือเป็นช่องสัญญาณ A และ B โดยในช่องสัญญาณ A จะมี 192 เฟรม เมื่อรวม บิตสถานะช่องสัญญาณ( C ) แล้วจะได้ 192 บิต โดยสามารถจัดเรียงได้ 24 ไบต์ให้อยู่ในรูปของบล็อกสถานะช่องสัญญาณตามรูปที่ 7รูปที่ 7 บล็อกสถานะช่องสัญญาณในรูปแบบของผู้ผลิต
บล็อกสถานะของช่องสัญญาณ ในรูปแบบของผู้ผลิต
บล็อกสถานะช่องสัญญาณในรูปแบบของผู้ผลิต ดังรูปที่ 7 โดยมีรายละเอียดของแต่ละไบต์ดังตารางที่ 3-1 และ 3-2
ตารางที่ 3-1 ไบต์ที่ 0 และ 1
ไบต์ที่ 0 เป็นข้อมูลควบคุมพื้นฐาน
บิต 0 ข้อมูลเป็นแบบผู้ผลิตหรือผู้ใช้
บิต 1 ข้อมูลเป็นแบบสัญญาณออดิโอธรรมดาหรือออดิโอพิเศษเช่นสัญญาณออดิโอที่มี่การเข้ารหัส
บิต 2-4 รายละเอียดของการทำ เอมฟิซิซ (Emphasis) สัญญาณออดิโอ
บิต 5-7 รายละเอียดของความถี่ แซมปลิ้ง
ไบต์ที่ 1 เป็นข้อมูลแบบ โมโน หรือ สเตอริโอ
ไบต์ที่ 2 ความละเอียดของข้อมูลหรือจำนวนบิตของข้อมูล
ไบต์ที่ 4 ข้อมูลความถี่ แซมปลิ้ง อ้างอิง
ไบต์ที่ 5 สงวนไว้
ไบต์ที่ 6-9, 10-13 ช่องที่ใส่ รหัส ASCII ที่ใช้ส่งไปกับข้อมูลเสียง
ไบต์ที่ 14-23 ดูตามตารางที่ 3-2
ตารางที่ 3-2 ไบต์ที่ 2 ถึง 23
บล็อกสถานะของช่องสัญญาณ ในรูปแบบของผู้ใช้
บล็อกสถานะช่องสัญญาณในรูปแบบของผู้ใช้ ดังรูปที่ 8 โดยมีรายละเอียดของแต่ละไบต์ดังตารางที่ 4-1 และ 4-2รูปที่ 8 บล็อกสถานะช่องสัญญาณในรูปแบบของผู้ใช้
บิต 0 ข้อมูลเป็นแบบผู้ผลิตหรือผู้ใช้
บิต 1 ข้อมูลเป็นแบบสัญญาณออดิโอธรรมดาหรือออดิโอพิเศษเช่นสัญญาณออดิโอที่มี่การเข้ารหัส
บิต 2 ยอมให้ทำสำเนาหรือไม่
บิต 3-5 รายละเอียดของการทำ เอมฟิซิซ (Emphasis) สัญญาณออดิโอ
บิต 6-7 การกำหนดโหมดเพื่อเลื่อกใช้รหัสข้อมูลที่แบ่งเป็นประเภทไว้ในตารางที่ 3-1และ 3-2
ไบต์ที่ 1 เป็นข้อมูลแบบใช้รหัสข้อมูลที่แบ่งเป็นประเภทไว้
ไบต์ที่ 2 ความละเอียดของข้อมูลต้นและจำนวนช่องของข้อมูล
ไบต์ที่ 3 รายละเอียดของความถี่ แซมปลิ้ง
ไบต์ที่ 4-23 สงวนไว้
ตารางที่ 4-1 ไบต์ที่ 2 ถึง 23
ตารางที่ 4-2 ไบต์ที่ 1 ถึง 23
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น