เนื้อหาในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงรูปแบบโครงสร้างภายในโปรแกรมที่ผู้เขียน โปรแกรมจำเป็นต้องทราบ เพราะช่วยให้ผู้เขียนโปรแกรมสามารถเลือกใช้คำสั่งให้สอดคล้องกับโครงสร้าง ภายในโปรแกรมได้ ซึ่งมีเนื้อหา 2 ส่วนคือ ลักษณะของโปรแกรมแบบโครงสร้าง และรูปแบบโครงสร้างภายในโปรแกรม ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1.2.1 ลักษณะของโปรแกรมแบบโครงสร้าง
การเขียนโปแกรมแบบโครงสร้าง (structured programming) หมายถึงการเขียนโปรแกรมที่มีการนำโครงสร้างของคำสั่งหลาย ๆ รูปแบบมาใช้ในโปรแกรม เพื่อให้โปรแกรมที่เขียนขึ้นมีขั้นตอนที่แน่นอน และสะดวกต่อการแก้ไขโปรแกรม โดยหลีกเลี่ยงการใช้คำสั่ง goto หรือใช้ให้น้อยที่สุด เพราะคำสั่ง goto จะทำให้โปรแกรมมีการย้ายการทำงานจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งที่กำหนดไว้ ซึ่งอาจเกิดความสับสนในการตรวจสอบการทำงานของโปรแกรมได้
โดยทั่วไปแล้วภาษาคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมสำหรับการนำมาเขียนโปรแกรมแบบโครง สร้างมีหลายภาษา ตัวอย่างเช่น ภาษาปาสคาล (PASCAL) ภาษาโคบอล (COBOL) และภาษา C เป็นต้น สำหรับในเอกสารนี้จะกล่าวถึงลักษณะของโปแกรมแบบโครงสร้างที่เขียนด้วยภาษา C เท่านั้น
เพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะของโปรแกรมแบบโครงสร้างมากยิ่งขึ้น ให้ศึกษาจากตัวอย่างโปรแกรมภาษา C ดังต่อไปนี้
โปรแกรมตัวอย่างที่ 1.1 แสดงตัวอย่างโปรแกรมภาษา C ที่เป็นแบบโครงสร้างอย่างง่าย
/* strucpro.c */ |
||||
ส่วนที่ 1 คือ ส่วนของการประกาศตัวแปรและค่าเริ่มต้นของตัวแปรที่จำเป็นต้องใช้ในโปรแกรม ซึ่งก็คือ คำสั่ง int k=1; และคำสั่ง float = sum=0, avg;
ส่วนที่ 2 คือ ส่วนของการคำนวณค่าผลรวม และค่าเฉลี่ยนของตัวเลข ซึ่งก็คือ คำสั่ง while และคำสั่ง avg = sum/10;
ส่วนที่ 3 คือ ส่วนของการแสดงผลลัพธ์ทางจอภาพ ซึ่งก็คือคำสั่ง printf( );
สำหรับการแก้ไขโปรแกรมข้างต้นสามารถทำได้ง่ายและสะดวกมาก ตัวอย่างเช่น ผู้เขียนโปรแกรมต้องการแก้ไขส่วนของการแสดงผลลัพธ์ก็สามารถแก้ไขในส่วนที่ 3 คือแก้ไขคำสั่ง printf( ); เท่านั้น ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 ไม่ต้องแก้ไข หรือทำนองเดียวกันถ้าต้องการแก้ไขค่าเริ่มต้นของตัวแปร k ให้มีค่าเป็น 10 ก็สามารถทำได้ง่ายมากโดยแก้ไขส่วนที่ 1 คือคำสั่ง int k=1; แก้เป็น int k=10;
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าลักษณะของโปรแกรม แบบโครงสร้างจะมีการทำงานเป็นขั้นตอน ที่สามารถเข้าใจการทำงานของโปรแกรมได้ง่าย และสะดวกในการแก้ไขโปรแกรมภายหลัง
1.2.2 รูปแบบโครงสร้างภายในโปรแกรม
รูปแบบโครงสร้างภายในโปรแกรมที่ควรรู้จักมีดังนี้
1.2.2.1 โครงสร้างแบบเรียงลำดับ
รูปที่ 1.4 แสดงโครงสร้างแบบเรียงลำดับ
ที่มา : สมชาย รัตนเลิศนุสรณ์, 2545 : 29.
การทำงานของโครงสร้างแบบเรียงลำดับ คือจะทำงานตามคำสั่งที่ 1, คำสั่งที่ 2, …, คำสั่งที่ n ตามลำดับที่มา : สมชาย รัตนเลิศนุสรณ์, 2545 : 29.
1.2.2.2 โครงสร้างแบบทดสอบเงื่อนไข
โครงสร้างแบบทดสอบเงื่อนไข หมายถึง โครงสร้างของคำสั่ง ที่มีการทดสอบเงื่อนไขก่อน ที่จะทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้
1) โครงสร้างแบบทดสอบเงื่อนไข 1 ทาง
รูปที่ 1.5 แสดงโครงสร้างแบบทดสอบเงื่อนไข 1 ทาง
ที่มา : สมชาย รัตนเลิศนุสรณ์, 2545 : 29.
การทำงานของโครงสร้างแบบทดสองเงื่อนไข 1 ทาง คือทำการทดสอบเงื่อนไขว่าเป็น
จริงหรือเท็จ ถ้าเงื่อนไขเป็นจริง ให้ทำงานตามคำสั่งที่กำหนดไว้แล้วออกจาก
การทำงาน แต่ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ ให้ออกจากการทำงานที่มา : สมชาย รัตนเลิศนุสรณ์, 2545 : 29.
2) โครงสร้างแบบทดสอบเงื่อนไข 2 ทาง
รูปที่ 1.6 แสดงโครงสร้างแบบทดสอบเงื่อนไข 2 ทาง
ที่มา : สมชาย รัตนเลิศนุสรณ์, 2545 : 30.
การทำงานของโครงสร้างแบบทดสอบเงื่อนไข 2 ทาง คือทำการทดสอบเงื่อนไขว่าเป็น
จริงหรือเท็จ ถ้าเงื่อนไขเป็นจริง ให้ทำงานตามคำสั่ง A ที่กำหนดไว้แล้วออก
จากการทำงาน แต่ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ ให้ทำงานตามคำสั่ง B ที่กำหนดไว้
แล้วออกจากการทำงานที่มา : สมชาย รัตนเลิศนุสรณ์, 2545 : 30.
3) โครงสร้างแบบทดสอบเงื่อนไขมากกว่า 2 ทางขึ้นไป
รูปที่ 1.7 แสดงโครงสร้างแบบทดสอบเงื่อนไขมากกว่า 2 ทางขึ้นไป
ที่มา : สมชาย รัตนเลิศนุสรณ์, 2545 : 30.
การทำงานของโครงสร้างแบบทดสอบเงื่อนไขมากกว่า 2 ทางขึ้นไป ที่มา : สมชาย รัตนเลิศนุสรณ์, 2545 : 30.
มีลักษณะดังต่อไปนี้
1. ทำการทดสอบเงื่อนไขที่ 1 ว่าเป็นจริงหรือเท็จ ถ้าเงื่อนไขเป็นจริง ให้ทำงาน ตามคำสั่ง A ที่กำหนดไว้แล้วออกจากการทำงาน แต่ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ ให้ทำ งานในข้อ 2.
2. ทำการทดสอบเงื่อนไขที่ 2 ว่าเป็นจริงหรือเท็จ ถ้าเงื่อนไขเป็นจริง ให้ทำงาน ตามคำสั่ง B ที่กำหนดไว้แล้วออกจากการทำงาน แต่ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ ให้ทำ งานในข้อ 3.
3. ทำการทดสอบเงื่อนไขใหม่อีก โดยทำซ้ำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงเงื่อนไขสุดท้าย (เงื่อนไขที่ n) ถ้าเงื่อนไขเป็นจริง ให้ทำงาน ตามคำสั่ง N ที่กำหนดไว้แล้วออกจากการทำงาน แต่ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ ให้ออก จากการทำงาน
1.2.2.3 โครงสร้างแบบทำงานวนลูป
โครงสร้างแบบทำงานวนลูป หมายถึง โครงสร้างของคำสั่งที่มีการทำงานซ้ำ ๆ เป็นวงจรปิด จนกว่าเงื่อนไขที่ทดสอบจะตรงกับค่าจริงหรือเท็จตามโครงสร้างที่ ใช้ จึงสามารถออกจากการทำงานได้ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
1) โครงสร้างแบบ DO UNTIL
รูปที่ 1.8 แสดงโครงสร้างแบบ DO UNTIL
ที่มา : สมชาย รัตนเลิศนุสรณ์, 2545 : 31.
การทำงานของโครงสร้างแบบ DO UNTIL คือเริ่มต้นด้วยการทำงานตามคำสั่งที่ต้อง
การภายในลูปจนหมดคำสั่งไป 1 รอบ จากนั้นจึงทำการทดสอบเงื่อนไขว่าเป็นจริง
หรือเท็จ ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ ให้กลับไปทำงานตามคำสั่งภายในลูปอีก ทำงานซ้ำ
ๆ
เช่นนี้จนกว่าเงื่อนไขเป็นจริง จึงออกจากการทำงานแบบนี้ได้ ลักษณะของโครง
สร้างแบบ DO UNTIL นี้จะตรงกับคำสั่ง REPEAT UNTIL ในภาษาปาสคาลที่มา : สมชาย รัตนเลิศนุสรณ์, 2545 : 31.
2) โครงสร้างแบบ DO WHILE
รูปที่ 1.9 แสดงโครงสร้างแบบ DO WHILE
ที่มา : สมชาย รัตนเลิศนุสรณ์, 2545 : 32.
การทำงานของโครงสร้างแบบ DO WHILE คือเริ่มต้นด้วยการทดสอบเงื่อนไขว่าเป็น จริงหรือเท็จ ถ้าเงื่อนเป็นจริง ให้ทำงานตามคำสั่งที่ต้องการภายในลูปจนหมด คำสั่ง จากนั้นจึงย้อนกลับไปทำการทดสอบเงื่อนไขอีกครั้งว่าเป็นจริงหรือ เท็จ ถ้าเงื่อนไขเป็นจริง ให้ทำงานตามคำสั่งภายในลูปอีก ทำงานซ้ำ ๆ เช่นนี้จนกว่าเงื่อนไขเป็นเท็จ จึงออกจากการทำงานแบบนี้ได้ ลักษณะของโครง สร้าง DO WHILE นี้จำตรงกับคำสั่ง while ในภาษา C
ข้อควรระวังของโครงสร้างแบบทำงานวนลูป คือ การทำสอบเงื่อนไขจะต้องมีทั้ง 2 กรณี คือเป็นจริง และเป็นเท็จ ตัวอย่าง เช่น โครงสร้างแบบ DO UNTIL ถ้าเงื่อนไขที่ทดสอบไม่มีกรณีที่เป็นจริง จะทำ ให้การทำงานของโปรแกรมทำงานซ้ำ ๆ แบบไม่มีทางออกได้ ในทำนองเดียวกันโครงสร้างแบบ DO WHILE ถ้าเงื่อนไขที่ ทดสอบไม่มีกรณีที่เป็นเท็จ จะทำให้การทำงานของโปรแกรมวนทำงานซ้ำ ๆ แบบไม่มีทางออกได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น