บทที่ 7
ฟังก์ชันในภาษา C
ฟังก์ชันในภาษา C
สำหรับเนื้อหาในบทนี้จะกล่าวถึงฟังก์ชันในภาษา C
โดยจะประกอบไปด้วยเนื้อหาหลัก ๆ คือ เรื่องที่หนึ่ง ฟังก์ชันมาตรฐาน
เป็นฟังก์ชันที่บริษัทที่ผลิตภาษา C ได้เขียนขึ้นและเก็บไว้ใน header
file ภาษา C คือเก็บไว้ในแฟ้มที่มีนามสกุล *.h ต่าง ๆ
ส่วนเรื่องที่สอง
เป็นฟังก์ชันที่เขียนขึ้นหรือเรียกอีกอย่างว่าโปรแกรมย่อย
ที่ผู้เขียนโปรแกรมเขียนขึ้นมาใช้งานอย่างใดอย่างหนึ่งตามความต้องการของงาน
นั้น ๆ โดยรายละเอียดของแต่ละฟังก์ชันมีดังต่อไปนี้
7.1 ฟังก์ชันมาตรฐาน (standard functions)
เป็นฟังก์ชันที่บริษัทที่ผลิตภาษา C
ได้เขียนขึ้นและเก็บไว้ใน header file ภาษา C
คือเก็บไว้ในแฟ้มที่มีนามสกุล *.h ต่าง ๆ เมื่อต้องการใช้ฟังก์ชันใด
จะต้องรู้ว่าฟังก์ชันนั้นอยู่ใน header file
ใดจากนั้นจึงค่อยใช้คำสั่ง #include<header file.h>
เข้ามาในส่วนตอนต้นของโปรแกรม จึงจะสามารถใช้ฟังก์ชันที่ต้องการได้
ซึ่งฟังก์ชันมาตรฐานเป็นฟังก์ชันที่บริษัทผู้ผลิต C compiler
เขียนขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้นำไปช่วยในการเขียนโปรแกรมทำให้การเขียนโปรแกรม
สะดวกและง่ายขึ้น บางครั้งเราอาจจะเรียกฟังก์ชันมาตรฐานว่า
”ไลบรารีฟังก์ชัน” (library functions)ตัวอย่างที่ 7.1 แสดง ตัวอย่างฟังก์ชันมาตรฐาน เช่น ฟังก์ชัน pow(x,y) คือ ฟังก์ชันที่ใช้หาค่ายกกำลังของ xy โดยที่ตัวแปร x และตัวแปร y มีชนิดเป็น double ซึ่งฟังก์ชัน pow(x,y) จะถูกเก็บไว้ใน header file ที่ชื่อว่า math.h ดังนั้นจึงต้องใช้คำสั่ง #include<math.h> แทรกอยู่ในส่วนตอนต้นของโปรแกรมเหนือฟังก์ชัน main( ) จึงจะสามารถเรียกใช้ฟังก์ชัน pow(x,y) มาใช้งานภายในโปรแกรมนี้ได้
สำหรับฟังก์ชันมาตรฐานที่จะกล่าวถึงในหัวข้อนี้จะกล่าว เฉพาะฟังก์ชันมาตรฐานที่จำเป็น และเรียกใช้งานบ่อย ๆ เท่านั้น ซึ่งมีดังต่อไปนี้
7.1.1 ฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ (mathematic functions)
เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ และก่อนที่จะใช้ฟังก์ชันประเภทนี้ จะต้องใช้คำสั่ง #include <math.h> แทรกอยู่ตอนต้นของโปรแกรม และตัวแปรที่จะใช้ฟังก์ชันประเภทนี้จะต้องมีชนิด (type) เป็น double เนื่องจากผลลัพธ์ที่ได้จากฟังก์ชันประเภทนี้จะได้ค่าส่งกลับของข้อมูลเป็น double เช่นกัน
ฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ที่ควรทราบ มีดังนี้
acos(x) asin(x) atan(x)
sin(x) cos(x) tan(x)
sqrt(x) exp(x) pow(x,y)
log(x) log10(x) ceil(x)
floor(x) fabs(x)
เป็นฟังก์ชันที่ใช้คำนวณหาค่า arc cosine ของ x โดยที่ x เป็นค่ามุมในหน่วยเรเดียน (radian)
รูปแบบ
acos(x);
เป็นฟังก์ชันที่ใช้คำนวณหาค่า arc sine ของ x โดยที่ x เป็นค่ามุมในหน่วยเรเดียน
รูปแบบ
asin(x);
เป็นฟังก์ชันที่ใช้คำนวณหาค่า arc tan ของ x โดยที่ x เป็นค่ามุมในหน่วย
เรเดียน
รูปแบบ
atan(x);
เป็นฟังก์ชันที่ใช้คำนวณหาค่า sine ของ x โดยที่ x เป็นค่ามุมในหน่วยเรเดียน
รูปแบบ
sin(x);
เป็นฟังก์ชันที่ใช้คำนวณหาค่า cosine ของ x โดยที่ x เป็นค่ามุมในหน่วย
เรเดียน
รูปแบบ
cos(x);
6) ฟังก์ชัน tan(x)
เป็นฟังก์ชันที่ใช้คำนวณหาค่า tan ของ x โดยที่ x เป็นค่ามุมในหน่วยเรเดียน
รูปแบบ
tan(x);
/* math1.c */ |
||||
ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรม
จากโปรแกรมตัวอย่างที่ 7.1 สามารถอธิบายการทำงานของโปรแกรมที่สำคัญ ๆ ได้ดังนี้
7) ฟังก์ชัน sqrt(x)
บรรทัดที่ 9 คำสั่ง printf("%f\n",asin(r)); ฟังก์ชันคำนวณหาค่า arc sin ของตัวแปร r โดย r เป็นมุมในหน่วยเรเดียน และแสดงผลลัพธ์ที่ได้ออกจอภาพ
บรรทัดที่ 10 คำสั่ง printf("%f\n",acos(r)); ฟังก์ชันคำนวณหาค่า arc cosine ของตัวแปร r โดย r เป็นมุมในหน่วยเรเดียน และแสดงผลลัพธ์ที่ได้ออกจอภาพ
บรรทัดที่ 11 คำสั่ง printf("%f\n",atan(r)); ฟังก์ชันคำนวณหาค่า arc tan ของตัวแปร r โดย r เป็นมุมในหน่วยเรเดียน และแสดงผลลัพธ์ที่ได้ออกจอภาพ
บรรทัดที่ 12 คำสั่ง printf("%f\n",sin(r)); ฟังก์ชันคำนวณหาค่า sine ของตัวแปร r โดย r เป็นมุมในหน่วยเรเดียน และแสดงผลลัพธ์ที่ได้ออกจอภาพ
บรรทัดที่ 13 คำสั่ง printf("%f\n",cos(r)); ฟังก์ชันคำนวณหาค่า cosine ของตัวแปร r โดย r เป็นมุมในหน่วยเรเดียน และแสดงผลลัพธ์ที่ได้ออกจอภาพ
บรรทัดที่ 14 คำสั่ง printf("%f\n",tan(r)); ฟังก์ชันคำนวณหาค่า tan ของตัวแปร r โดย r เป็นมุมในหน่วยเรเดียน และแสดงผลลัพธ์ที่ได้ออกจอภาพ
บรรทัดที่ 15 และ 16 พิมพ์ข้อความให้กดคีย์ใด ๆ เพื่อกลับสู่โปรแกรม และหยุดรอรับค่าใด ๆ เช่น กด enter จะกลับเข้าสู่โปรแกรม
เป็นฟังก์ชันที่ใช้หาค่ารากที่ 2 (square root) ของค่าคงที่หรือตัวแปร x โดยที่ x จะต้องเป็นค่าคงที่ชนิดตัวเลขหรือตัวแปรที่มีค่าไม่ติดลบ
รูปแบบ
sqrt(x);
เป็นฟังก์ชันที่ใช้หาค่า ex โดยที่ x เป็นค่าคงที่หรือตัวแปรที่จะใช้เป็นค่ายกกำลังของ e โดยที่ e มีค่าประมาณ 2.718282
รูปแบบ
exp(x);
9) ฟังก์ชัน pow(x,y)
เป็นฟังก์ชันที่ใช้หาค่า xy
โดยที่
x เป็นค่าคงที่หรือตัวแปรที่ใช้เป็นตัวฐานซึ่งจะต้องมีค่ามากกว่าศูนย์
y เป็นค่าคงที่หรือตัวแปรที่ใช้เป็นค่ายกกำลัง
รูปแบบ
pow(x, y);
/* math2.c */ |
||||
จากโปรแกรมตัวอย่างที่ 7.2 สามารถอธิบายการทำงานของโปรแกรมที่สำคัญ ๆ ได้ดังนี้
10) ฟังก์ชัน log(x)
บรรทัดที่ 8 คำสั่ง printf("%.4f\n",pow(x,y)); ฟังก์ชันคำนวณหาค่า xy โดยที่ x เป็นค่าคงที่หรือตัวแปรที่ใช้ตัวฐานซึ่งจะต้องมีค่ามากกว่าศูนย์ และ y เป็นค่าคงที่หรือตัวแปรที่ใช้เป็นค่ายกกำลัง และแสดงผลที่ได้ออกจอภาพ
บรรทัดที่ 9 คำสั่ง printf("%.4f\n",sqrt(z)); ฟังก์ชันคำนวณหาค่ารากที่สอง (square root) ของค่าคงที่หรือตัวแปร z โดยที่ z จะต้องเป็นค่าคงที่ชนิดตัวเลขหรือตัวแปรที่มีค่าไม่ติดลบ และแสดงผลที่ได้ออกจอภาพ
บรรทัดที่ 10 คำสั่ง printf("%.4f\n",exp(y)); ฟังก์ชันคำนวณหาค่า ey โดยที่ y เป็นค่าคงที่หรือตัวแปรที่จะใช้เป็นค่ายกกำลังของ e โดยที่ e มีค่าประมาณ 2.718282 และแสดงผลที่ได้ออกจอภาพ
บรรทัดที่ 11 และ 12 พิมพ์ข้อความให้กดคีย์ใด ๆ เพื่อกลับสู่โปรแกรม และหยุดรอรับค่าใด ๆ เช่น กด enter จะกลับเข้าสู่โปรแกรม
เป็นฟังก์ชันที่ใช้หาค่า log ฐาน n (natural logarithm) ของค่าคงที่หรือตัวแปร x โดยที่ x เป็นค่าคงที่หรือตัวแปรที่มีค่าเป็นลบไม่ได้
รูปแบบ
log(x);
11) ฟังก์ชัน log10(x)
เป็นฟังก์ชันที่ใช้หาค่า log ฐาน 10 ของค่าคงที่หรือตัวแปร x โดยที่ x เป็นค่าคงที่หรือตัวแปรที่มีค่าเป็นลบไม่ได้
รูปแบบ
log10(x);
โปรแกรมตัวอย่างที่ 7.3 แสดงการใช้งานฟังก์ชัน log(x) และ log10(x)
/* math3.c */ |
||||
คำอธิบายโปรแกรม
จากโปรแกรมตัวอย่างที่ 7.3 สามารถอธิบายการทำงานของโปรแกรมที่สำคัญ ๆ ได้ดังนี้
12) ฟังก์ชัน ceil(x)
บรรทัดที่ 8 คำสั่ง printf(“%.4f\n”,log(n)); ฟังก์ชันที่ใช้หาค่า log ฐาน n (natural logorithm) ของค่าคงที่หรือตัวแปร n โดยที่ n เป็นค่าคงที่หรือตัวแปรที่มีค่าเป็นลบไม่ได้ และแสดงผลที่ได้ออกจอภาพ
บรรทัดที่ 9 คำสั่ง printf("%.4f\n",log10(m)); ฟังก์ชันที่ใช้หาค่า log ฐาน 10 ของค่าคงที่หรือตัวแปร m โดยที่ m เป็นค่าคงที่หรือตัวแปรที่มีค่าเป็นลบไม่ได้ และแสดงผลที่ได้ออกจอภาพ
บรรทัดที่ 10 และ 11 พิมพ์ข้อความให้กดคีย์ใด ๆ เพื่อกลับสู่โปรแกรม และหยุดรอรับค่าใด ๆ เช่น กด enter จะกลับเข้าสู่โปรแกรม
เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการปัดเศษทศนิยมขึ้นของตัวแปร x ถ้า x เป็นตัวเลขจำนวนทศนิยม แต่ถ้า x เป็นเลขจำนวนเต็มจะไม่มีการปัดเศษทศนิยม
รูปแบบ
ceil(x);
เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการตัดเศษทศนิยมทิ้งของตัวแปร x ถ้า x เป็นตัวเลขจำนวนทศนิยม แต่ถ้า x เป็นเลขจำนวนเต็มจะไม่มีการตัดเศษทศนิยมทิ้ง รูปแบบ
floor(x);
/* math4.c */ |
||||
ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรม
คำอธิบายโปรแกรม
จากโปรแกรมตัวอย่างที่ 7.4 สามารถอธิบายการทำงานของโปรแกรมที่สำคัญ ๆ ได้ดังนี้
14. ฟังก์ชัน fabs(x)
บรรทัดที่ 7 คำสั่ง printf(“%.4f\n”,ceil(9.8765)); ฟังก์ชันที่ใช้ในการปัดเศษทศนิยมขึ้นของตัวเลข 9.8765 และแสดงผลออกที่จอภาพ
บรรทัดที่ 8 คำสั่ง printf(“%.4f\n”,ceil(-3.7654)); ฟังก์ชันที่ใช้ในการปัดเศษทศนิยมขึ้นของตัวเลข -3.7654 และแสดงผลออกที่จอภาพ
บรรทัดที่ 9 คำสั่ง printf(“%.4f\n”,ceil(80)); ฟังก์ชันที่ใช้ในการปัดเศษทศนิยมขึ้นของตัวเลข 80 และแสดงผลออกที่จอภาพ
บรรทัดที่ 10 คำสั่ง printf(“%.4f\n”,floor(7.9876)); ฟังก์ชันที่ใช้ในการตัดเศษทศนิยมทิ้งของตัวเลข 7.9876 และแสดงผลออกที่จอภาพ
บรรทัดที่ 11 คำสั่ง printf(“%.4f\n”,floor(-3.321)); ฟังก์ชันที่ใช้ในการตัดเศษทศนิยมทิ้งของตัวเลข -3.321 และแสดงผลออกที่จอภาพ
บรรทัดที่ 12 คำสั่ง printf(“%.4f\n”,floor(180)); ฟังก์ชันที่ใช้ในการตัดเศษทศนิยมทิ้งของตัวเลข 180 และแสดงผลออกที่จอภาพ
บรรทัดที่ 13 และ 14 พิมพ์ข้อความให้กดคีย์ใด ๆ เพื่อกลับสู่โปรแกรม และหยุดรอรับค่าใด ๆ เช่น กด enter จะกลับเข้าสู่โปรแกรม
เป็นฟังก์ชันที่ใช้หาค่าสัมบูรณ์ (absolute value) ของค่าคงที่หรือตัวแปร x โดยที่ x เป็นค่าคงที่หรือตัวแปรที่เก็บค่าตัวเลขจุดทศนิยมที่มีค่าบวกหรือลบก็ได้
รูปแบบ
fabs(x);
/* math5.c */ |
||||
คำอธิบายโปรแกรม
จากโปรแกรมตัวอย่างที่ 7.5 สามารถอธิบายการทำงานของโปรแกรมที่สำคัญ ๆ ได้ดังนี้
7.1.2 ฟังก์ชันเกี่ยวกับตัวอักษร (character functions)
บรรทัดที่ 8 และ 9 ใช้ฟังก์ชัน fabs( ) หาค่าสัมบูรณ์ (absolute value) ของค่าคงที่หรือตัวแปร x และ y และแสดงผลออกที่จอภาพ ตามลำดับ
บรรทัดที่ 10 และ 11 พิมพ์ข้อความให้กดคีย์ใด ๆ เพื่อกลับสู่โปรแกรม และหยุดรอรับค่าใด ๆ เช่น กด enter จะกลับเข้าสู่โปรแกรม
เป็นฟังก์ชันที่ใช้กับข้อมูลที่มีชนิดเป็น single char (ใช้เนื้อที่ 1 byte) เท่านั้น และก่อนที่จะใช้ฟังก์ชันประเภทนี้จะต้องใช้คำสั่ง #include<ctype.h> แทรกอยู่ตอนต้นของโปรแกรม จึงจะสามารถเรียกใช้ฟังก์ชันประเภทนี้ได้
ฟังก์ชันที่เกี่ยวกับตัวอักษรที่ควรทราบ มีดังนี้
isalnum(ch) isalpha(ch) isdigit(ch)
islower(ch) isupper(ch)
tolower(ch) toupper(ch)
isspace(ch) isxdigit(ch)
เป็นฟังก์ชันที่ใช้ตรวจสอบว่าข้อมูลที่เก็บไว้ในตัวแปร ch เป็นตัวอักษรหรือตัวเลข (letter or digit) ถ้าข้อมูลที่เก็บไว้เป็นตัวอักษรหรือตัวเลขก็จะส่งค่ากลับที่เป็นจำนวนเต็ม ที่มีค่าไม่เท่ากับศูนย์มายังฟังก์ชัน และถ้าข้อมูลที่เก็บไว้ในตัวแปร ch ไม่ได้เก็บตัวอักษรหรือตัวเลขก็จะส่งค่ากลับที่มีค่าเป็นศูนย์มายังฟังก์ชัน
รูปแบบ
isalnum(ch);
เป็นฟังก์ชันที่ใช้ตรวจสอบว่าข้อมูลที่เก็บไว้ในตัวแปร ch เป็นตัวอักษร (letter) หรือไม่ ถ้าใช่ฟังก์ชันนี้จะให้ค่าส่งกลับเป็นเลขจำนวนเต็มที่ไม่เท่ากับศูนย์ ถ้าไม่ใช่ฟังก์ชันนี้จะให้ค่าส่งกลับมาเป็นเลขศูนย์ (0)
รูปแบบ
isalpha(ch);
3) ฟังก์ชัน isdigit(ch)
เป็นฟังก์ชันที่ใช้ตรวจสอบว่าข้อมูลที่เก็บไว้ในตัวแปร ch เป็นตัวเลข 0 ถึง 9 หรือไม่ ถ้าใช่ฟังก์ชันนี้จะให้ค่าส่งกลับเป็นเลขจำนวนเต็มที่ไม่เท่ากับศูนย์ ถ้าไม่ใช่ฟังก์ชันนี้จะไม่มีการส่งค่ากลับ
รูปแบบ
isdigit(ch);
/* char1.c */ |
||||
คำอธิบายโปรแกรม
จากโปรแกรมตัวอย่างที่ 7.6 สามารถอธิบายการทำงานของโปรแกรมที่สำคัญ ๆ ได้ดังนี้
4) ฟังก์ชัน islower(ch)
บรรทัดที่ 8 ถึง 10 ใช้ฟังก์ชัน isalnum( ) ใช้ตรวจสอบว่าข้อมูลที่เก็บไว้ในตัวแปร ch1, ch2 และ ch3 ตามลำดับ เป็นตัวอักษรหรือตัวเลข ซึ่งถ้าข้อมูลที่เก็บไว้เป็นตัวอักษรหรือตัวเลขจะส่งค่ากลับที่เป็นจำนวน เต็มที่มีค่าไม่เท่ากับศูนย์มายังฟังก์ชัน แต่ถ้าข้อมูลในตัวแปรไม่ได้เก็บตัวอักษรหรือตัวเลขจะส่งค่าศูนย์กลับมายัง ฟังก์ชัน แล้วแสดงผลที่ได้ออกมาจอภาพ
บรรทัดที่ 11 ถึง 13 ใช้ฟังก์ชัน isalpha( ) ใช้ตรวจสอบว่าข้อมูลในตัวแปร ch1, ch2 และ ch3 ตามลำดับ เป็นตัวอักษรหรือไม่ ถ้าใช่ฟังก์ชันจะให้ค่ากลับเป็นเลขจำนวนเต็มที่ไม่เท่ากับศูนย์ ถ้าไม่ใช่ฟังก์ชันจะให้ค่ากลับเป็นศูนย์ แล้วแสดงผลที่ได้ออกจอภาพ
บรรทัดที่ 14 ถึง 16 ใช้ฟังก์ชัน isdigit( ) ใช้ตรวจสอบว่าข้อมูลที่เก็บในตัวแปร ch1, ch2 และ ch3 ตามลำดับ เป็นตัวเลข 0 ถึง 9 หรือไม่ ถ้าใช่ฟังก์ชันจะให้ค่ากลับเป็นเลขจำนวนเต็มที่ไม่เท่ากับศูนย์ ถ้าไม่ใช่ฟังก์ชันจะไม่มีการส่งค่ากลับ
บรรทัดที่ 17 และ 18 พิมพ์ข้อความให้กดคีย์ใด ๆ เพื่อกลับสู่โปรแกรม และหยุดรอรับค่าใด ๆ เช่น กด enter จะกลับเข้าสู่โปรแกรม
เป็นฟังก์ชันที่ใช้ตรวจสอบว่าข้อมูลที่เก็บไว้ในตัวแปร ch เป็นตัวอักษรตัวเล็กหรือไม่ ถ้าใช่ให้ส่งค่ากลับเป็นเลขจำนวนเต็มที่ไม่เท่ากับศูนย์ ถ้าไม่ใช่ฟังก์ชันนี้จะให้ค่าส่งกลับเป็นเลขศูนย์ (0)
รูปแบบ
islower(ch);
เป็นฟังก์ชันที่ใช้ตรวจสอบว่าข้อมูลที่เก็บไว้ในตัวแปร ch เป็นตัวอักษรตัวใหญ่หรือไม่ ถ้าใช่ให้ส่งค่ากลับเป็นเลขจำนวนเต็มที่ไม่เท่ากับศูนย์ ถ้าไม่ใช่ฟังก์ชันนี้จะให้ค่าส่งกลับเป็นเลขศูนย์ (0)
รูปแบบ
isupper(ch);
เป็นฟังก์ชันที่ใช้เปลี่ยนตัวอักษรตัวใหญ่ที่เก็บไว้ในตัวแปร ch ให้เป็นอักษรตัวเล็ก
รูปแบบ
tolower(ch);
เป็นฟังก์ชันที่ใช้เปลี่ยนตัวอักษรตัวเล็กที่เก็บไว้ในตัวแปร ch ให้เป็นอักษรตัวใหญ่
รูปแบบ
toupper(ch);
โปรแกรมตัวอย่างที่ 7.7 แสดงการใช้งานฟังก์ชัน islower(ch), isupper(ch), tolower(ch) และ toupper(ch)
/* char2.c */ |
||||
ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรม
คำอธิบายโปรแกรม
จากโปรแกรมตัวอย่างที่ 7.7 สามารถอธิบายการทำงานของโปรแกรมที่สำคัญ ๆ ได้ดังนี้
8) ฟังก์ชัน isspace(ch)
บรรทัดที่ 7 ใช้ฟังก์ชัน islower( ) ตรวจสอบตัวอักษรที่เก็บไว้ในตัวแปร ch1 และ ch2 เป็นตัวอักษรตัวพิมพ์เล็กหรือไม่ ถ้าใช่ฟังก์ชันจะให้ค่ากลับเป็นเลขจำนวนเต็มที่ไม่เท่ากับศูนย์ ถ้าไม่ใช่ฟังก์ชันจะให้ค่ากลับเป็นเลขศูนย์ แล้วแสดงผลออกที่จอภาพ
บรรทัดที่ 8 ใช้ฟังก์ชัน isupper( ) ตรวจสอบตัวอักษรที่เก็บไว้ในตัวแปร ch1 และ ch2 เป็นตัวอักษรตัวพิมพ์ใหญ่หรือไม่ ถ้าใช่ฟังก์ชันจะให้ค่ากลับเป็นเลขจำนวนเต็มที่ไม่เท่ากับศูนย์ ถ้าไม่ใช่ฟังก์ชันจะให้ค่ากลับเป็นเลขศูนย์ แล้วแสดงผลออกที่จอภาพ
บรรทัดที่ 9 ใช้ฟังก์ชัน tolower( ) ใช้เปลี่ยนตัวอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ที่เก็บไว้ในตัวแปร ch1 ให้เป็นตัวอักษรตัวพิมพ์เล็ก และใช้ฟังก์ชัน toupper( ) ใช้เปลี่ยนตัวอักษรตัวพิมพ์เล็กที่เก็บไว้ในตัวแปร ch2 ให้เป็นตัวอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ แล้วแสดงผลออกจอภาพ
บรรทัดที่ 10 และ 11 พิมพ์ข้อความให้กดคีย์ใด ๆ เพื่อกลับสู่โปรแกรม และหยุดรอรับค่าใด ๆ เช่น กด enter จะกลับเข้าสู่โปรแกรม
เป็นฟังก์ชันที่ใช้ตรวจสอบว่าค่าข้อมูลที่อยู่ในตัวแปร ch มีค่าเป็น whitespace หรือไม่ (whitespace) ได้แก่ space, tab, vertical tab, formfeed, carriage return และ new line ถ้าเป็น whitespace เพียงแค่ตัวใดตัวหนึ่ง ฟังก์ชันนี้จะให้ค่าส่งกลับที่เป็นเลขจำนวนเต็มที่ไม่เท่ากับศูนย์ถ้าไม่ ป็น whitespace ฟังก์ชันนี้จะให้ค่าส่งกลับเป็นเลขศูนย์ (0)
รูปแบบ
isspace(ch);
9) ฟังก์ชัน isxdigit(ch)
เป็นฟังก์ชันที่ใช้ตรวจสอบว่าข้อมูลตัวเลขที่อยู่ในตัวแปร ch เป็นตัวเลขฐานสิบหก (0-9, A-F, หรือ a-f) หรือไม่ ถ้าใช่ฟังก์ชันนี้จะมีการส่งค่ากลับตัวเลขที่ไม่เท่ากับศูนย์มายัง ฟังก์ชัน ถ้าไม่ใช่ฟังก์ชันนี้จะส่งค่าเป็นตัวเลขศูนย์กลับมายังฟังก์ชัน
รูปแบบ
isxdigit(ch);
โปรแกรมตัวอย่างที่ 7.8 แสดงการใช้งานฟังก์ชัน isspace(ch) และ isxdigit(ch)
/* char3.c */ |
||||
ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรม
คำอธิบายโปรแกรม
จากโปรแกรมตัวอย่างที่ 7.8 สามารถอธิบายการทำงานของโปรแกรมที่สำคัญ ๆ ได้ดังนี้
7.1.3 ฟังก์ชันเกี่ยวกับสตริง (string functions)
บรรทัดที่ 8 ใช้ฟังก์ชัน isspace( ) ตรวจสอบว่าข้อมูลที่อยู่ในตัวแปร ch1 และ ch2 มีค่าเป็น whitespace หรือไม่ ถ้าเป็นฟังก์ชันจะให้ค่ากลับที่เป็นเลขจำนวนเต็มที่ไม่เท่ากับศูนย์ ถ้าไม่ใช่ฟังก์ชันจะให้ค่ากลับเป็นเลขศูนย์ แล้วแสดงผลที่ได้ออกจอภาพ
บรรทัดที่ 9 ใช้ฟังก์ชัน isspace( ) ตรวจสอบว่าข้อมูลที่อยู่ในตัวแปร ch3 มีค่าเป็น whitespace หรือไม่ ถ้าเป็นฟังก์ชันจะให้ค่ากลับที่เป็นเลขจำนวนเต็มที่ไม่เท่ากับศูนย์ ถ้าไม่ใช่ฟังก์ชันจะให้ค่ากลับเป็นเลขศูนย์ แล้วแสดงผลที่ได้ออกจอภาพ และใช้ฟังก์ชัน isxdigit( ) ตรวจสอบว่าข้อมูลตัวเลขที่อยู่ในตัวแปร ch4 ว่าเป็นตัวเลขฐานสิบหกหรือไม่ ถ้าใช่ฟังก์ชันจะส่งค่ากลับเป็นตัวเลขที่ไม่เท่ากับศูนย์ ถ้าไม่ใช่ฟังก์ชันจะส่งตัวเลขศูนย์กลับมายังฟังก์ชัน
บรรทัดที่ 10 และ 11 พิมพ์ข้อความให้กดคีย์ใด ๆ เพื่อกลับสู่โปรแกรม และหยุดรอรับค่าใด ๆ เช่น กด enter จะกลับเข้าสู่โปรแกรม
เป็นฟังก์ชันที่ใช้กับข้อมูลชนิดสตริง (string) โดยก่อนที่จะใช้ฟังก์ชันประเภทนี้จะต้องใช้คำสั่ง #include<string.h> แทรกอยู่ตอนต้นของโปรแกรมเสียก่อน จึงจะเรียกใช้ฟังก์ชันประเภทนี้ได้
ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องกับสตริงที่ควรทราบ มีดังนี้
strlen(s) strcmp(s1,s2)
strcpy(s) strcat(s1,s2)
7.1.4 ฟังก์ชันทั่วไปที่ใช้งานบ่อย ๆ
จะกล่าวเฉพาะฟังก์ชันที่ใช้บ่อย ๆ เท่านั้น ซึ่งมีฟังก์ชันดังนี้
1) ฟังก์ชัน clrscr( )
เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการลบข้อมูลออกจากจอภาพแบบ text mode
รูปแบบ
clrscr( );
เป็นฟังก์ชันที่ใช้คำสั่งให้ตัวชี้ตำแหน่ง (cursor) เคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่ระบุไว้บนจอภาพ
รูปแบบ
gotoxy(x,y );
x คือ ตำแหน่ง column บนจอมีค่าตั้งแต่ 1 ถึง 79 ส่วน column ที่ 80 สงวนไว้
y คือ ตำแหน่ง row บนจอภาพมีค่าตั้งแต่ 1 ถึง 24 ส่วน row ที่ 25 สงวนไว้
3) ฟังก์ชัน clreol( )
เป็นฟังก์ชันที่ใช้ลบข้อความในบรรทัดที่ตัว cursor อยู่ โดยลบข้อความถัดจากตำแหน่งของ cursor ไปจนกระทั่งจบบรรทัด
รูปแบบ
clreol( );
เป็นฟังก์ชันที่ใช้ลบข้อความทั้งบรรทัดที่มีตัว cursor อยู่ จากนั้นก็เลื่อนข้อความในบรรทัดที่อยู่ข้างล่างขึ้นมาแทนที่
รูปแบบ
deline( );
เป็นฟังก์ชันที่ใช้แทรกบรรทัดว่าง 1 บรรทัด โดยแทรกอยู่ใต้บรรทัดที่มี cursor อยู่ รูปแบบ
insline( );
เป็นฟังก์ชันที่ใช้ตรวจสอบขนาดของตัวแปร x ว่ามีขนาดกี่ Byte
รูปแบบ
sizeof(x);
หรือ sizeof(type);
7) ฟังก์ชัน system( )
x เป็นชื่อตัวแปรที่ต้องการตรวจสอบขนาด
type เป็นชนิดของตัวแปร เช่น int, float, char, double เป็นต้น
เป็นฟังก์ชันที่ช่วยให้สามารถเรียกใช้คำสั่งที่อยู่ใน MS-DOS มาใช้งานได้
รูปแบบ
system(“dos-command”);
8) ฟังก์ชัน abort( )
dos-command คือคำสั่ง dos ที่ต้องการใช้ เช่น cls, dir, date, time, etc. เป็นต้น
เป็นฟังก์ชันที่ใช้ยกเลิกการทำงานของโปรแกรมโดยทันที่ทันใดไม่ว่าจะทำงาน เสร็จหรือไม่ และจะมีข้อความบอกว่า “Abnormal program termination” แสดงออกทางจอภาพด้วย
รูปแบบ
abort( );
เป็นฟังก์ชันที่ใช้ค่าสัมบูรณ์ของ x โดยที่ x เป็นตัวแปรที่เก็บตัวเลขจำนวนเต็มเท่านั้น
รูปแบบ
abs(x);
เช่น int x = -65;
printf(“%d”, abs(x));
ผลลัพธ์ที่ได้ คือค่า 65 10) ฟังก์ชัน labs(x)
เป็นฟังก์ชันที่ใช้หาค่าสมบูรณ์ของ x โดยที่ x เป็นตัวแปรที่เก็บตัวเลขชนิด long integer
รูปแบบ
labs(x);
เป็นฟังก์ชันที่เปลี่ยนค่า string ให้เป็นตัวเลขจำนวนเต็ม (integer) ที่สามารถนำไปคำนวณได้
รูปแบบ
atoi(s);
12) ฟังก์ชัน atof(s)
char numstr[20] = “1000”; int d;
d = atoi(numstr);
printf (“%d”, d);
ผลลัพธ์ที่ได้คือค่าตัวเลข 1000
เป็นฟังก์ชันที่ใช้เปลี่ยนค่า string ให้เป็นตัวเลขจำนวนทศนิยม (floating point) ที่สามารถนำไปคำนวณได้
รูปแบบ
atof( );
13) ฟังก์ชัน atol(s)
char numstr[ 20 ] = “10.45” ; float f;
f = atof (numstr);
printf( “% .2f”, f );
ผลลัพธ์ที่ได้คือค่าตัวเลข 10.45
เป็นฟังก์ชันที่ใช้เปลี่ยนค่า string ให้เป็นตัวเลขจำนวนเต็มชนิด long integer ที่สามารถนำไปใช้คำนวณได้
รูปแบบ
atol(s);
โปรแกรมตัวอย่างที่ 7.9 แสดงการใช้งานฟังก์ชัน atoi( ), atof( ) และ atol( )
/* atoifl.c */ |
||||
จากโปรแกรมตัวอย่างที่ 7.9 สามารถอธิบายการทำงานของโปรแกรมที่สำคัญ ๆ ได้ดังนี้
บรรทัดที่ 11 ใช้ฟังก์ชัน atoi( ) เปลี่ยนค่าสตริง s1 ให้เป็นตัวเลขจำนวนเต็มที่สามารถนำไปคำนวณได้ ซึ่งในคำสั่งนี้จะใช้คูณกับเลข 2 เก็บไว้ที่ตัวแปร as1
บรรทัดที่ 12 ใช้ฟังก์ชัน atof( ) เปลี่ยนค่าสตริง s2 ให้เป็นตัวเลขทศนิยมที่สามารถนำไปคำนวณได้ ซึ่งในคำสั่งนี้จะใช้คูณกับเลข 2 เก็บไว้ที่ตัวแปร fs2
บรรทัดที่ 13 ใช้ฟังก์ชัน atol( ) เปลี่ยนค่าสตริง s3 ให้เป็นตัวเลขจำนวนเต็มชนิด long integer เก็บไว้ที่ตัวแปร ls3
บรรทัดที่ 14 ถึง 16 แสดงค่าของตัวแปร as1, fs2 และ as3 ตามลำดับ แสดงผลที่ได้ออกจอภาพ
บรรทัดที่ 17 และ 18 พิมพ์ข้อความให้กดคีย์ใด ๆ เพื่อกลับสู่โปรแกรม และหยุดรอรับค่าใด ๆ เช่น กด enter จะกลับเข้าสู่โปรแกรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น